ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาเงินสดและผลักดันประเทศให้ก้าวไปสู่สังคมดิจิทัลที่ใช้เงินสดน้อยลง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความสะดวกสบายเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน หน่วยงานภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย (BoT) ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทฟินเทค ต่างมีบทบาทในกระบวนการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดจากการเปิดตัว National e-Payment Master Plan ภายใต้การนำของกระทรวงการคลังและ BoT กรอบนโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนการจัดการเงินสด ขยายฐานภาษีผ่านการลดขนาดเศรษฐกิจนอกระบบ และทำให้การชำระเงินดิจิทัลเข้าถึงได้สำหรับประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการรายย่อย ภายใต้แผนนี้ โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานได้รับการจัดลำดับความสำคัญและประสานงานกันอย่างเป็นระบบ แทนที่จะปล่อยให้เกิดเป็นโครงการกระจัดกระจายหรือแข่งขันกันเอง
หัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินใหม่ของประเทศไทยคือ PromptPay ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินรายย่อยแบบเรียลไทม์ของประเทศ PromptPay ช่วยให้บุคคลและภาคธุรกิจสามารถโอนเงินโดยใช้ตัวระบุที่ง่าย เช่น หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือ แทนการใช้เลขที่บัญชีธนาคารที่ยาวและจำยาก การโอนเงินมีต้นทุนต่ำหรือไม่มีค่าธรรมเนียม และมักเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วินาที ทำให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การจ่ายค่าเช่า การหารบิล หรือการโอนเงินให้ครอบครัว
องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งคือมาตรฐาน Thai QR Payment กรอบการใช้ QR code ในระดับประเทศนี้เปิดโอกาสให้ลูกค้าชำระเงินให้กับร้านค้าเพียงแค่สแกน QR code ผ่านแอปธนาคารหรือแอป e-wallet เนื่องจากระบบ QR ถูกทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสามารถทำงานร่วมกันได้ ร้านค้าจึงต้องมีเพียง QR code เดียวโดยไม่ขึ้นกับว่าลูกค้าใช้ธนาคารหรือ e-wallet รายใด สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร้านค้าขนาดเล็ก แผงลอย และพ่อค้าแม่ค้าริมทางที่เคยรับชำระเงินเป็นเงินสดเท่านั้น
การเติบโตของการธนาคารผ่านมือถือและ e-wallet ทำให้การยอมรับโครงสร้างพื้นฐานนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีอัตราการใช้สมาร์ตโฟนค่อนข้างสูงและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมือถือที่แพร่หลาย ซึ่งทำให้การใช้แอปชำระเงินดิจิทัลในเขตเมืองและกึ่งเมืองเป็นไปได้ง่าย ธนาคารพาณิชย์ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาแอปที่ใช้งานง่าย ขณะที่ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น บริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยี ก็เสนอ e-wallet ที่ออกแบบมาสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ เกม หรือบริการขนส่ง
กรอบกฎระเบียบได้พัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Payment Systems Act และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องซึ่งออกโดย BoT ให้กรอบทางกฎหมายสำหรับผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน ครอบคลุมทั้งการออกใบอนุญาต การบริหารความเสี่ยง และการคุ้มครองผู้บริโภค กลไก regulatory sandbox เปิดโอกาสให้รูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ สามารถทดลองภายใต้การกำกับดูแล เป็นการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับความจำเป็นในการปกป้องผู้ใช้จากการฉ้อโกง ความล้มเหลวด้านการปฏิบัติการ และการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด
ผลกระทบของโครงการเหล่านี้มองเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน การจ่ายสวัสดิการภาครัฐ การคืนภาษี และเงินอุดหนุนบางประเภท ถูกโอนผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น และมักผูกกับ PromptPay ร้านค้ารายย่อยได้รับประโยชน์จากต้นทุนการจัดการเงินสดที่ลดลง และความสามารถในการติดตามรายการธุรกรรมแบบดิจิทัล ซึ่งช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคเองก็เพลิดเพลินกับการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น ราคาถูกลง และโปร่งใสมากขึ้น ทั้งในการซื้อสินค้าในร้านจริงและออนไลน์
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าไปสู่สังคมไร้เงินสดก็มีความท้าทาย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีระดับทักษะดิจิทัลเท่ากัน และบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุหรือประชากรในชนบท ยังคงชอบใช้เงินสด ภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และกลโกงต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นตามมูลค่าที่ไหลเวียนผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ทำให้ต้องมีการอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยและการให้ความรู้ผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการพึ่งพาแพลตฟอร์มหรือผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายมากเกินไป
มองไปข้างหน้า ประเทศไทยกำลังสำรวจแนวคิด central bank digital currency (CBDC) โครงการนำร่องการชำระเงินผ่าน QR ข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และการบูรณาการบริการทางการเงินเข้าไปในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้สำหรับการขนส่ง การช้อปปิ้ง และการท่องเที่ยว แนวโน้มเหล่านี้บ่งชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของไทยจะยังคงพัฒนาจากระบบโอนเงินดิจิทัลแบบพื้นฐานไปสู่ระบบนิเวศดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น ทิศทางโดยรวมค่อนข้างชัดเจน คือการใช้เงินสดจริงน้อยลง และการพึ่งพาการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็ว ทำงานร่วมกันได้ และมีความปลอดภัยมากขึ้น
