การเสริมสร้างการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตเพื่อลด NPL ในธนาคารไทย

การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตได้กลายเป็นลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์หลักของธนาคารในประเทศไทย ขณะที่สถาบันการเงินพยายามลดระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน NPL มักถูกนิยามว่าเป็นสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่สามารถชำระคืนได้ครบถ้วน ซึ่งอาจกัดกร่อนความสามารถในการทำกำไร ทำให้ฐานเงินกองทุนอ่อนแอลง และจำกัดความสามารถในการปล่อยสินเชื่อใหม่ สำหรับธนาคารที่ดำเนินงานในเศรษฐกิจที่เผชิญกับแรงกระแทกจากภายนอก ความผันผวนด้านการส่งออก และภาคธุรกิจ SME ขนาดใหญ่เช่นประเทศไทย การมีแนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ธนาคารไทยบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตตลอดวงจรอายุของสินเชื่อ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการปล่อยกู้ สถาบันการเงินได้เข้มงวดมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น โดยประยุกต์ใช้โมเดลการให้คะแนนเครดิตที่ละเอียดขึ้น และการประเมินความเสี่ยงเฉพาะรายอุตสาหกรรม สำหรับลูกค้ารายย่อย ธนาคารพึ่งพาแบบฟอร์มให้คะแนนภายใน การตรวจสอบรายได้ อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ และข้อมูลพฤติกรรมจากประวัติธุรกรรมมากขึ้น ส่วนลูกค้าธุรกิจและ SME มีการใช้การวิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียด การประมาณการกระแสเงินสด และการประเมินคุณภาพทีมผู้บริหารเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ

หลักประกันยังคงเป็นเครื่องมือบรรเทาความเสี่ยงสำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในสินเชื่อ SME และสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ธนาคารไม่ได้พึ่งพาเพียงมูลค่าหลักประกันอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญมากขึ้นกับความสามารถในการชำระหนี้และความยืดหยุ่นของธุรกิจของลูกค้า การกำหนดราคาสินเชื่อบนพื้นฐานความเสี่ยง (Risk-based pricing) ยังถูกนำมาใช้เพื่อให้ราคาเงินกู้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายหรือแต่ละภาคธุรกิจ ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ารักษาพฤติกรรมเครดิตที่ดี

ระบบการติดตามและระบบเตือนภัยล่วงหน้ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้สินเชื่อไหลเข้าสู่สถานะ NPL ธนาคารไทยใช้เครื่องมือบริหารพอร์ตสินเชื่อที่สามารถแจ้งเตือนสัญญาณความตึงตัวในระยะเริ่มต้น เช่น การใช้วงเงินเกินบัญชีอย่างต่อเนื่อง การค้างชำระ การลดลงของกิจกรรมในบัญชี หรือการเสื่อมลงของอัตราส่วนทางการเงิน ผู้จัดการความสัมพันธ์ลูกค้าในกลุ่ม SME และลูกค้าธุรกิจ ได้รับการฝึกฝนให้รักษาการติดต่อใกล้ชิดกับลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เพื่อให้สามารถเสนอมาตรการปรับโครงสร้างหนี้หรือการช่วยเหลือได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

เมื่อพบว่าสินเชื่อเริ่มมีปัญหา ธนาคารจะนำกลยุทธ์การปรับโครงสร้างหนี้มาใช้ เช่น การเลื่อนกำหนดการชำระเงิน การขยายอายุสัญญา การลดค่างวดชั่วคราว หรือการปรับอัตราดอกเบี้ย มาตรการเหล่านี้มุ่งหวังให้ลูกค้ากลับมามีความสามารถในการชำระหนี้ พร้อมกับรักษาคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคาร ในขณะเดียวกัน ธนาคารจะมีการทำความสะอาดงบดุลเป็นระยะ โดยการตัดหนี้สูญในส่วนที่เก็บไม่ได้ หรือขายหนี้เสียให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์และนักลงทุนเฉพาะทาง

กฎระเบียบและการกำกับดูแลในประเทศไทยได้สร้างกรอบที่สนับสนุนการมีแนวทางบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่เข้มแข็ง ธนาคารกลางส่งเสริมมาตรฐานด้านความมั่นคง การทดสอบภาวะวิกฤต (Stress testing) และการกันสำรองที่เพียงพอให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงแนวทางการวัดขาดทุนด้านเครดิตคาดการณ์ล่วงหน้า (Expected Credit Loss) สิ่งนี้ผลักดันให้ธนาคารต้องตระหนักถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่น ๆ และจัดสรรเงินกองทุนและสำรองหนี้สูญอย่างเหมาะสม

เทคโนโลยีได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ธนาคารไทยนำการวิเคราะห์ข้อมูลและโมเดลแมชชีนเลิร์นนิงมาใช้ในการปรับปรุงการให้คะแนนเครดิต เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับการทุจริต และยกระดับการแบ่งกลุ่มพอร์ตสินเชื่อ ช่องทางดิจิทัลและแหล่งข้อมูลทางเลือก เช่น ข้อมูลการซื้อขายออนไลน์หรือการชำระค่าสาธารณูปโภค ช่วยให้ธนาคารมีภาพรวมของลูกหนี้ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีประวัติสินเชื่อแบบดั้งเดิมจำกัด

ท้ายที่สุด การลด NPL ในระบบธนาคารไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับโมเดลและกฎเกณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมความเสี่ยงด้วย คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญมากขึ้นกับการเติบโตอย่างระมัดระวัง การกำหนดกรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างชัดเจน และความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง แรงจูงใจของพนักงานถูกปรับให้สอดคล้องกับคุณภาพสินทรัพย์ในระยะยาว มากกว่าการเติบโตของปริมาณสินเชื่อในระยะสั้น เมื่อรวมกัน มาตรการเหล่านี้สร้างระบบเครดิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยได้ โดยยังควบคุมปริมาณหนี้เสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

Back To Top