ระบบการศึกษาของประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ ภายใต้แผน Thailand 4.0, การเรียนรู้ออนไลน์ในช่วงการระบาดของโรคระบาด และการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น กลุ่มสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษากำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่นักเรียนไทยเรียนรู้และวิธีที่ครูสอน โอกาสนี้ครอบคลุมตั้งแต่ K-12, การเตรียมสอบ, มหาวิทยาลัย, โปรแกรมอาชีวศึกษา และการพัฒนาทักษะในองค์กร—แต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกันและมีกฎเกณฑ์การจัดซื้อที่แตกต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมในเรื่องของคุณภาพ การเข้าถึง และความเท่าเทียม
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ โซลูชันมีการจัดกลุ่มเป็นหลายประเภท เช่น ระบบการจัดการการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับโรงเรียน, แพลตฟอร์มการฝึกฝนที่ปรับตัวได้, แอพพลิเคชันภาษาอังกฤษและ STEM, ตลาดการสอนสด และห้องสมุดเนื้อหา ผู้เล่นในตลาดไทยที่มักถูกกล่าวถึง ได้แก่ Skooldio (การพัฒนาทักษะวิชาชีพ), Globish (การสอนภาษาอังกฤษสด), Taamkru (การเรียนรู้ในช่วงต้น), Learn Education (โซลูชันโรงเรียน), และ Ookbee (เนื้อหาดิจิทัล) แม้ว่ารูปแบบธุรกิจของพวกเขาจะแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดมีการปรับเนื้อหาให้เข้ากับท้องถิ่น, การแมปผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานของประเทศ, และออกแบบประสบการณ์ที่เน้นการใช้งานบนมือถือเป็นหลัก
การกระจายเป็นจุดที่หลายสตาร์ทอัพประสบความสำเร็จหรือหยุดนิ่ง เนื่องจาก LINE เป็นเหมือนสาธารณูปโภคในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมักมีการบูรณาการการแจ้งเตือน, บทเรียนสั้น ๆ และการสนับสนุนในกลุ่ม LINE การเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ (AIS, True, DTAC) ช่วยให้สามารถเพิ่มการเข้าถึงไปยังพื้นที่ชนบท และในบางกรณีช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือรวมการสมัครสมาชิก ในโรงเรียนที่มีความเร็วอินเทอร์เน็ตจำกัด แอพที่ออกแบบมาให้สามารถทำงานออฟไลน์และซิงค์ข้อมูลในพื้นหลังพร้อมขนาดไฟล์ที่เล็กนั้นไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นข้อกำหนดพื้นฐาน
ครูถือเป็นลูกค้าหลัก ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งานสุดท้าย การมีแดชบอร์ดที่ช่วยลดเวลาในการตรวจงาน, แสดงข้อผิดพลาดในการเรียนรู้, และสร้างการฝึกฝนที่แตกต่างกันโดยอัตโนมัติ ทำให้มีการใช้งานที่สูงขึ้น สตาร์ทอัพที่มีการฝึกอบรมครู, แผนการสอน, และกิจกรรมการเรียนการสอนที่แนะนำในห้องเรียนมักจะได้รับความนิยมมากกว่า สำคัญที่สุดคือต้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย (PDPA) โดยมีการขอความยินยอมที่ชัดเจน, การลดการเก็บข้อมูล, และนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลที่โปร่งใส
การปรับให้เข้ากับท้องถิ่นไม่ได้จำกัดแค่การใช้ภาษา ภาษาไทยต้องสามารถจัดการกับสคริปต์ที่ไม่มีขอบเขตคำที่ชัดเจน, การสลับใช้ภาษาอังกฤษบ่อย ๆ, และความสับสนในเรื่องของน้ำเสียงในการประมวลผลเสียง โมเดลเนื้อหาต้องมีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ตั้งแต่ตัวอย่างที่ใช้บริบทในท้องถิ่นไปจนถึงการปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับการสอบที่มีความสำคัญ การทำให้เกมการเรียนมีความน่าสนใจทำได้ดีที่สุดเมื่อการให้รางวัลเน้นการเสริมทักษะให้ดีขึ้นแทนที่จะสนับสนุนการทำกิจกรรมที่ซ้ำซาก
โมเดลทางธุรกิจที่ใช้มีหลายรูปแบบ: การให้บริการฟรีเพื่อดึงดูดพ่อแม่, การสมัครสมาชิกระดับโรงเรียนที่จ่ายเป็นรายปี, ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการสอนออนไลน์, และการสมัครสมาชิกการพัฒนาทักษะในองค์กร การชำระเงินควรมีการปรับให้เข้ากับพฤติกรรมการชำระเงินของผู้ใช้ เช่น PromptPay QR, TrueMoney Wallet, การเรียกเก็บเงินผ่านแอพ, และใบสั่งซื้อสำหรับโรงเรียนรัฐ การมีหลักฐานผลกระทบ—การพัฒนาการเรียนรู้, การเพิ่มอัตราการเข้าเรียน, การประหยัดเวลาในการทำงานของครู—ช่วยให้กระบวนการขายสั้นลงและเปิดโอกาสให้ได้รับทุนจากองค์กรต่างๆ เช่น กองทุนการศึกษาที่ยุติธรรม
สตาร์ทอัพในปัจจุบันมักจะจัดกิจกรรมการออกแบบร่วมกับโรงเรียนต้นแบบในแต่ละจังหวัด, พัฒนาโดยร่วมมือกับครู, และส่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น เครื่องมือปรับการเรียนรู้, การทบทวนที่มีช่วงเวลาการห่างจากการเรียน, และชุดคำถามทดสอบสำหรับการประเมินผลในระหว่างการเรียน การทำสิ่งเล็ก ๆ ที่ประสบความสำเร็จและแชร์ในที่สาธารณะจะช่วยสร้างความไว้วางใจในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และชื่อเสียง
อนาคตของการศึกษาในประเทศไทยชัดเจนแล้วว่า EdTech จะเติบโตได้เมื่อผสมผสานหลักการทางการศึกษาเข้ากับวิศวกรรมที่มีความเป็นจริง: การส่งมอบเนื้อหาผ่านมือถือ, การมีส่วนร่วมผ่าน LINE, การทำงานที่เน้นครูเป็นหลัก, และการแสดงผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อมีการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA และมีพันธมิตรที่ช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างเมืองและชนบท สตาร์ทอัพสามารถทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในห้องเรียนได้